
แผนการเดินทาง สัมผัสจิตวิญญาณซามูไรแห่งไอซุ สัมผัสและซึมซับประวัติศาสตร์นักรบซามูไรและพ่อค้าในญี่ปุ่น
ทำความเข้าใจกับปรัชญาของซามูไรอย่างลึกซึ้งด้วยการเที่ยวชมปราสาท วัด และเมืองที่เป็นจุดแวะพัก
ไฮไลท์
- เยี่ยมเยือนลานในปราสาททสึรุกะซึ่งเป็นสนามรบที่เหล่าซามูไรรบพุ่งกันอย่างดุดัน
- แวะที่พักของซามูไรระดับสูงและสถานที่ที่นักรบ 19 คนเสียชีวิต
- สำรวจอดีตเมืองสำหรับแวะพักที่ได้รับการดูแลอย่างดีอย่างโออุจิจูคุ และคิตะคะตะ เมืองพ่อค้าที่รุ่งเรืองในยุคก่อน
ยืนบนพื้นที่ที่เคยเป็นสนามรบอันดุเดือดของเหล่าซามูไรในช่วงสงครามโบชินในปีค.ศ.1868 เนื่องจากที่นี่เป็นหนึ่งในที่มั่นสุดท้ายของซามูไรไอซุผู้จงรักภักดีต่อรัฐบาลโชกุนโทกุกะวะ ที่นี่จึงเป็นสถานที่ที่ผู้ต่อต้านรัฐบาลใหม่ถูกปราบ
ปราสาทแห่งนี้สร้างขึ้นครั้งแรกในปีค.ศ.1384 และถูกทำลายลงขณะสร้าง แต่ต่อมาก็ได้รับการบูรณะในช่วงยุคค.ศ.1960 ที่นี่เป็นที่จดจำในฐานะที่เป็นสัญลักษณ์ของความกล้าหาญของเหล่าซามูไรที่ต่อสู้อย่างภาคภูมิจนวินาทีสุดท้าย องค์ประกอบที่โดดเด่นอย่างหนึ่งของปราสาทแห่งนี้ คือ หลังคาปูกระเบื้องสีแดงซึ่งไม่ค่อยใช้กับปราสาทญี่ปุ่น ใช้เวลาไปกับการเดินชมพิพิธภัณฑ์ในพื้นที่ปราสาทสักพัก โดยคุณสามารถเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับประวัติและวัฒนธรรมของภูมิภาคไอซุได้ที่นี่
จินตนาการการใช้ชีวิตแบบซามูไรในยุคศักดินาของญี่ปุ่น ที่อาศัยอยู่ในคฤหาสน์ซามูไรไอซุ หรือที่ในภาษาญี่ปุ่นเรียกว่า บุเคะยะชิกิ ซึ่งเป็นที่ตั้งของซามูไรที่มีตำแหน่งสูงสุดในตระกูลไอซุ รวมถึงครอบครัวและคนรับใช้ของซามูไรผู้นั้นด้วย
ยิ่งมียศสูงคฤหาสน์ยิ่งกว้าง โดยคฤหาสน์แห่งนี้มีห้องอยู่หลายสิบห้อง และมีมุมต่าง ๆ เช่น สวน โรงน้ำชา หรือแม้กระทั่งลานยิงธนู ที่นี่มีการจัดแสดงหุ่นที่สร้างเลียนแบบผู้ที่เคยอยู่อาศัยในคฤหาสน์แห่งนี้ไว้ในห้องต่าง ๆ เพื่อแสดงให้ภาพกิจวัตรแต่ละวันของที่นี่
เบียกโกไตเป็นกลุ่มนักรบซามูไรวัยรุ่น อายุ 16 – 17 ปีที่ต่อสู้ในสงครามโบชิน พวกเขาตัดสินใจปลิดชีวิตตัวเองที่ภูเขาอิอิโมริ เมื่อมองเห็นเปลวไฟลุกโชนจากทางปราสาททสึรุกะ และคิดว่าพวกตนพ่ายแพ้ในสงครามกลางเมืองครั้งนี้
ปัจจุบันนี้คุณสามารถเยี่ยมชมจุดที่กลุ่มชายหนุ่มเสียชีวิต และพิพิธภัณฑ์เบียกโกไตที่ตั้งอยู่ตรงเชิงเขาก็จัดแสดงข้อมูลของชายหนุ่มกลุ่มนี้ไว้ด้วย
ไอซุ ซาซาเอะโดะสร้างขึ้นในปี ค.ศ.1796 โดยเป็นวัดหกเหลี่ยม สูงสามชั้น ตั้งตระหง่านด้วยความสูง 16.5 วัดแห่งนี้ตั้งอยู่บนเขาอิอิโมริ โดยใช้เวลาเดินขึ้นเขาไปไม่นาน วัดแห่งนี้เป็นหนึ่งในสถาปัตยกรรมที่มีลักษณะแปลกประหลาดที่สุดในโลก ที่นี่ไม่มีบันไดอยู่บนทางเดินขึ้นเลย โดยเวลาที่คุณเดินขึ้นหรือลงจากอาคาร คุณจะต้องเดินไปตามทางเดินเส้นคนละเส้นกัน การเดินขึ้นลงซาซาเอโดะนั้นมีไว้เพื่อแสดงถึงเส้นทางจาริกแสวงบุญไซโกกุคันนง ที่ไปยังวัดพุทธ 33 แห่ง
อะชิโนะมากิอนเซ็นมีประวัติที่ยาวนานมากว่าสหัสวรรษ โดยว่ากันว่าที่นี่ก่อตั้งขึ้นโดยเกียวกิ นักบวชชื่อดังในศตวรรษที่แปด พักค้างแรมในโรงแรมสักแห่งที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำโอคะวะ แล้วลงแช่ในบ่อแช่น้ำกลางแจ้งที่มีทิวทัศน์อันงดงามของช่องเขาตลอดปี ไม่ว่าคุณจะมาเที่ยวในฤดูใด
“เฮ็ตสึริ” หมายถึง หน้าผา ในภาษาไอซุ และถูกกำหนดให้เป็นอนุสรณ์สถานแห่งชาติ จุดชมวิวแห่งนี้มีหินรูปร่างแปลกตาซึ่งก่อตัวขึ้นเมื่อหลายล้านปีก่อน
เนื่องจากโออุจิจูคุมีหลังคามุงจาก และเส้นทางสัญจรสายหลักอันกว้างขวางจนอาจทำให้คุณเกือบคิดว่าจะมีนักรบซามูไรแต่งกายเต็มยศออกมาเดินกันขวักไขว่เต็มถนน เมืองน้ำพุร้อนแห่งนี้ เคยเป็นหนึ่งใน “เมืองพัก” ที่มีอยู่มากมายทั่วญี่ปุ่น ซึ่งเป็นสถานที่ที่นักท่องเที่ยวผู้อ่อนล้าสามารถเข้าพักได้
อย่าลืมชิมอาหารจานเด็ดของท้องถิ่นอย่างเส้นโซบะโรยต้นหอม ปลาเทราต์ย่าง
เดินทางขึ้นเหนือต่อไปยังคิตะคะตะ อดีตเมืองการค้าที่เคยรุ่งเรือง ซึ่งมีโกดังแบบญี่ปุ่นตั้งอยู่กว่า ประมาณ 4,000 หลัง ในปัจจุบันร้านค้าหลายแห่งยังคงทำธุรกิจผลิตและจำหน่ายมิโซะและสาเกอยู่ นอกจากนี้คุณยังจะได้สำรวจโกดังที่ถูกดัดแปลงพิพิธภัณฑ์ ร้านอาหาร หรือแกลลอรี่งานศิลปะด้วย

หากคุณเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านสาเก คุณจะประทับใจไปกับประวัติศาสตร์อันมั่งคั่งของพิพิธภัณฑ์ทางตอนเหนือของโรงหมักสาเกยะมะโตะกาวะ ซึ่งเป็นโกดังที่สร้างขึ้นมาตั้งแต่ปีค.ศ.1790 เรียนรู้วิธีการหมักสาเกผ่านการจัดแสดงเครื่องมือและอุปกรณ์ที่ใช้ รวมถึงยุคสมัยที่มีการใช้สิ่งของพวกนี้ เพื่อให้ได้เห็นถึงวิวัฒนาการของการหมักสาเก จบการทัวร์ชมที่มุมชิมสาเกที่คุณสามารถชิมสาเกนับ 10 ชนิดได้
ผจญภัยในโทโฮคุต่อไป โดยเดินทางไปยัง โยะเนะซะวะ ซึ่งตั้งอยู่ชานเมืองจังหวัดยะมะงะตะ