อะคิตะ คะคุโนะดาเตะและพื้นที่โดยรอบ สำรวจระบบศักดินาในอดีต งานฝีมือสุดคลาสสิก และหุบเขาอันสวยงามของญี่ปุ่น

เมืองคะคุโนะดาเตะ ในจังหวัดอะคิตะ ที่ยังคงสภาพไว้เช่นเดิมเหมือนตอนที่ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2163 มีสถาปัตยกรรมของจริงจากยุคเอโดะในสองพื้นที่ที่ต่างกันอย่างชัดเจน ย่านซามูไรและย่านการค้าที่น่าประทับใจจะช่วยให้คุณเข้าใจชีวิตในยุคศักดินาของญี่ปุ่น

ออกมานอกเมืองไม่ไกลนักก็เป็นที่ตั้งของหุบเขาดะคิกะเอะริ หุบเขาที่เหมาะกับการเดินเล่นไปตามแม่น้ำทามางาวะผ่านป่าสนไปยังสะพานแขวนและเชิงสะพาน

คะคุโนะดาเตะขึ้นชื่อเรื่องต้นซากุระแบบห้อยย้อย ซึ่งเบ่งบานในช่วงฤดูใบไม้ผลิเล็กน้อย

จากเกียวโต ถ้าขึ้นเจอาร์อะคิตะ ชินคันเซนมาลงที่สสถานีคะคุโนะดาเตะจะใช้เวลา 3 ชั่วโมง หรือนั่งเครื่องบินจากเกียวโตที่สนามบินฮาเนะดะ มายังสนามบินอะคิตะได้ในเวลา 1 ชั่วโมง

มีผู้คนกว่าหนึ่งล้านคนที่เดินทางมาชมดอกซากุระบานในคะคุโนะดาเตะ เมืองนี้จึงเป็นหนึ่งในจุดฮานามิหรือจุดชมดอกซากุระที่โด่งดังที่สุดในประเทศ ดอกซากุระที่เบ่งบานตามท้องถนนและริมฝั่งแม่น้ำจะสวยงามที่สุดในช่วงปลายเดือนเมษายนหรือต้นเดือนพฤษภาคม

ต้นซากุระแบบห้อยย้อยในเขตซามูไรนั้นปลูกมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 17 เมื่อเหล่าครอบครัวซามูไรในพื้นที่นำต้นซากุระกลับมาจากเกียวโต เดินเล่นใต้ต้นซากุระที่บานสะพรั่งในท้องถนนย่านซามูไร สัมผัสประสบการณ์การชมซากุระอย่างแท้จริง

นอกจากนี้ยังมีต้นซากุระพันธุ์โซเมอิโยชิโนะยาวตลอดแม่น้ำฮิโนกินาอิ ซึ่งในช่วงดอกซากุระบานเต็มที่ แม่น้ำจะกลายเป็นสีชมพู นำอาหารและเครื่องดื่มมาที่ริมแม่น้ำและร่วมเฉลิมฉลองกับคนในท้องถิ่นใต้กลีบซากุระที่โปรยปรายลงมา

บ้านในเขตซามูไรในเมืองคะคุโนะดาเตะที่เจริญรุ่งเรืองในฐานะย่านปราสาทช่วงต้นศตวรรษที่ 17 ได้รับการดูแลรักษาให้อยู่ในสภาพสมบูรณ์ไร้ที่ติ เดินเล่นไปตามถนนที่กว้างขวางพร้อมจินตนาการถึงภาพบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์เดินขวักไขว่กันทั่วท้องถนน

สำรวจพื้นที่ที่ครั้งหนึ่งเคยมีครอบครัวซามูไร 80 ครอบครัวอาศัยอยู่ และดูตัวอย่างที่ดีที่สุดของสถาปัตยกรรมที่อยู่อาศัยของญี่ปุ่นในศตวรรษที่ 17 และ 18 บ้านเหล่านี้แสดงให้เราเห็นถึงวิถีชีวิตของครอบครัวซามูไรชนชั้นกลางและชนชั้นสูง มีบ้านหกแห่งที่เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชม รวมถึงบ้านอะโอยะกิ  

คฤหาสน์ซามูไรอะโอยะกิทำให้คุณเข้าใจยุคศักดินาของญี่ปุ่นผ่านการจัดแสดงที่หลากหลาย ในพื้นที่คฤหาสน์นั้นมีทั้งพิพิธภัณฑ์ แกลเลอรี ร้านอาหาร ร้านขายของที่ระลึก

ถัดออกไปไม่ไกลก็มีคฤหาสน์อิชิงุโระ แม้คฤหาสน์แห่งนี้จะยังคงเป็นบ้านส่วนตัวที่ไม่ได้เปิดให้เข้าเยี่ยมชมอย่างเต็มรูปแบบ แต่ที่นี่มีบางส่วนของบ้านและห้องเก็บของที่เปิดให้ชมได้

คะคุโนะดาเตะ เป็นเมืองที่งดงามมากช่วงฤดูใบไม้ร่วง และฤดูนี้จะเริ่มต้นด้วยงานเทศกาลช่วงต้นเดือนกันยายนที่เรียกว่าเทศกาลคาคุโนะดาเตะ ซึ่งมีมานานกว่า 350 ปี มีการลากซุ้มขนาดยักษ์ที่หนักถึง 7 ตันไปทั่วเมืองพร้อมทั้งนักเต้นและดนตรีแบบดั้งเดิม

ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2163 ย่านการค้าของคะคุโนะดาเตะถูกแยกออกจากเขตซามูไร สะท้อนให้เห็นถึงการแบ่งแยกชนชั้นในช่วงนั้น

เดินเล่นไปตามถนนที่กว้างขวางที่เรียงรายไปด้วยอาคารเก่าแก่ซึ่งส่วนมากยังคงสภาพเดิมไม่เปลี่ยนแปลง เที่ยวชมโครงสร้างอิฐที่น่าประทับใจของโกดังอันโดะ โจโซ มิโสะ โกดังที่เก็บมิโสะและซอสถั่วเหลืองซึ่งผลิตโดยใช้วิธีดั้งเดิมมานานกว่า 150 ปี ซื้อซอสเหล่านี้เพื่อนำรสชาติแห่งประวัติศาสตร์ติดไม้ติดมือกลับไปเป็นที่ระลึก

งานฝีมือท้องถิ่นหลายแห่งใช้เปลือกต้นซากุระของคะคุโนะดาเตะ ซึ่งวิธีนี้เริ่มมีการทำกันมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 18 เมื่อมีซามูไรคนหนึ่งชื่อฟูจิมูระ ฮิโกะโรคุเริ่มนำมาใช้ โดยงานฝีมืออันน่าทึ่งนี้ถูกนำมาใช้ทำเครื่องประดับ กล่องเครื่องประดับ และเฟอร์นิเจอร์

พิพิธภัณฑ์อิฐแดงเดนโชคันจัดแสดงงานฝีมือในภูมิภาคจำนวนมากและยังมีการจัดแสดงคาบาไซกุ (ศิลปะเปลือกต้นซากุระ) ที่นำกล่อง อุปกรณ์ชงชา และชิ้นส่วนเฟอร์นิเจอร์มาครอบด้วยเปลือกต้นซากุระ

เดินขึ้นเนินเขาสูงชันไปยังจุดที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นที่ตั้งของป้อมปราการในพื้นที่อย่างปราสาทคะคุโนะดาเตะ แม้ว่าจะไม่หลงเหลือร่องรอยของปราสาทดั้งเดิมอยู่ แต่วิวทิวทัศน์รอบ ๆ บริเวณก็ทำให้เข้าใจได้ว่าทำไมจึงเลือกพื้นที่แห่งนี้เป็นที่ตั้งของปราสาทเมื่อช่วงปี พ.ศ. 2043 ปราสาทแห่งนี้ทำให้คะคุโนะดาเตะกลายเป็นศูนย์กลางอำนาจของภูมิภาค

เมื่อต้นซากุระของเมืองผลิดอกบานสะพรั่ง ทิวทัศน์จากบนยอดเขาจะมองเห็นเป็นเมฆปุกปุยสีชมพูปนขาว ที่นี่จึงเป็นสถานที่ยอดนิยมในช่วงฤดูใบไม้ผลิ

ก่อนที่คุณจะไป อย่าลืมแวะซื้อขนมสูตรดั้งเดิมของเมืองที่ชื่อว่าโมโรโคชิ ขนมที่ทำจากถั่วแดงบดละเอียดชนิดนี้ เหมาะเป็นอย่างยิ่งสำหรับการซื้อติดไม้ติดมือกลับไปเป็นของฝากแสนอร่อย