กิฟุ กุโจฮะจิมัง เมืองปราสาทที่มีกิจกรรมทั้งการเล่นสกี การสำรวจถ้ำ การเต้นระบำที่เต็มไปด้วยสีสันและชีวิตชีวาในฤดูร้อน และโรงงานอาหารจำลอง

กุโจฮะจิมังคือเมืองปราสาทในจังหวัดกิฟุ โดยเป็นผู้ผลิตโมเดลอาหารพลาสติกรายใหญ่ของประเทศ ซึ่งถูกนำไปตั้งแสดงที่แทบจะทุกร้านอาหารในประเทศญี่ปุ่น ครั้งหนึ่งเคยเป็นชุมทางหลักสำหรับนักท่องเที่ยว แต่ปัจจุบันเมืองนี้เป็นหน้าต่างที่แง้มให้เห็นถึงการใช้ชีวิตให้ช้าลงของญี่ปุ่น โดยตั้งอยู่ใกล้กับเมืองใหญ่ในแบบที่ให้มาเที่ยวชมแบบไปเช้าเย็นกลับได้ อีกทั้งยังมีสกีรีสอร์ทในพื้นที่จำนวน 10 แห่ง รวมถึงถ้ำหินปูนรอให้ไปสำรวจ เมืองนี้คือถิ่นของเทศกาลเต้นระบำบนโอโดริในฤดูร้อนสุดยิ่งใหญ่และได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก

สามารถเดินทางไปยังกุโจฮะจิมังได้โดยรถไฟหรือรถบัสทางหลวงที่มีให้บริการทุกชั่วโมงจากนาโกย่า

รถไฟ: จากสถานีกิฟุ นั่งสายเจอาร์ทาคายามะไปยังสถานีมิโนะโอตะ (ประมาณ 40 นาที) แล้วเปลี่ยนไปสายรถไฟท้องถิ่นนะกะระกะวะมุ่งหน้าสู่กุโจฮะจิมัง ถึงแม้สถานีจะห่างจากใจกลางเมือง แต่ก็สามารถเดินถึงได้อย่างเพลิดเพลินใจ หากเดินทางมาจากนาโกย่า ให้ไปสถานีกิฟุก่อน โดยนั่งสายหลักโทไคโด หรือสายเจอาร์ทาคายามะสายเดียวกันกับที่เดินทางไปยังสถานีมิโนะโอตะ

รถบัส: รถบัสทางหลวงจากนาโกย่าและกิฟุส่วนใหญ่จะจอดที่กุโจฮะจิมัง อินเตอร์ และบางคันจอดที่กุโจฮะจิมัง โจคะมาจิ พลาซ่าซึ่งสะดวกสบายกว่า

ปราสาทหลังดั้งเดิมสร้างขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 16 บนภูเขาซึ่งมองลงไปเห็นหุบเขา อยู่ห่างจากใจกลางเมืองโดยใช้เวลาเดินประมาณ 20 นาที ปราสาทจำนวนมากทั่วญี่ปุ่นถูกทำลายไปในช่วงทศวรรษ 1870 และกุโจฮะจิมังก็เป็นหนึ่งในจำนวนนั้นด้วย แต่ในปี 1933 ก็ได้มีการสร้างขึ้นใหม่ อย่างไรก็ตาม กุโจฮะจิมังสร้างขึ้นใหม่โดยใช้ไม้ทั้งหลัง แทนที่จะเป็นคอนกรีตซึ่งใช้ในการสร้างปราสาทหลังอื่นๆ จำนวนมากขึ้นมาใหม่ ทั้งยังเป็นหนึ่งในการบูรณะปราสาทไม้ที่เก่าแก่ที่สุดในญี่ปุ่น

ตำแหน่งที่ตั้งของปราสาทกุโจฮะจิมังนั้นอยู่ท่ามกลางต้นเมเปิล จึงทำให้เป็นป้อมปราการที่เหมาะสำหรับการถ่ายรูปที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศญี่ปุ่น ทั้งยังมีอาสาสมัครสาธิตอาวุธโบราณอีกด้วย โดยเฉพาะปืนใหญ่ขนาดกะทัดรัดซึ่งสร้างความประทับใจได้เป็นพิเศษ ขณะที่พิพิธภัณฑ์ด้านในปราสาทก็บอกเล่าเรื่องราวอันเต็มไปด้วยเสน่ห์ของเมืองนี้

ช่วงเวลา 31 ค่ำคืนตั้งแต่เดือนกรกฎาคมไปจนถึงเดือนกันยายน เสียงดนตรีจะปลุกให้ภูเขารอบกุโจฮะจิมังมีชีวิตชีวาขึ้นมา ผู้คนนับหมื่นหลั่งไหลมายังกุโจฮะจิมังเพื่อร่วมเทศกาลกุโจฮะจิมังบงโอโดริอันมีชื่อเสียง

ไม่ว่าคุณอยากจะเต้นระบำตลอดค่ำคืน หรือเพียงอยากจะสัมผัสกับพลังแห่งชุมชนท้องถิ่น เทศกาลที่สืบทอดประเพณีเก่าแก่มายาวนานกว่า 400 ปีนี้ก็ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในสามเทศกาลเต้นระบำที่สำคัญที่สุดในประเทศญี่ปุ่น

อาหารจำลองซึ่งจัดแสดงอยู่ในหน้าต่างของร้านอาหารต่างๆ ในประเทศญี่ปุ่นนั้นพบเห็นได้ทั่วไป และที่กุโจฮะจิมังนี้เองคือแหล่งผลิตอาหารจำลองอันมีชื่อเสียงเหล่านี้ โดยผู้ผลิตหลายรายได้เปิดประตูอ้าแขนรับผู้มาเยี่ยมชม และจัดเวิร์กชอปให้คุณได้ประดิษฐ์อาหารจำลองของคุณเองไม่ว่าจะเป็นซูชิ เทมปุระ หรือผักชนิดต่างๆ ซึ่งหมู่บ้านตัวอย่าง อิวาซากินี้เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง จึงขอแนะนำให้ทำการจองเสียก่อน

กุโจฮะจิมังตั้งอยู่ในหุบเขาซึ่งรายล้อมไปด้วยภูเขาที่มีป่าไม้อันอุดมสมบูรณ์ จึงเป็นสถานที่ซึ่งเหมาะเป็นอย่างยิ่งในการชมใบไม้ที่เปลี่ยนเป็นสีแดงสวยงามในช่วงฤดูใบไม้ร่วง เทศกาลโมมิจิกินเวลาประมาณสองสามสัปดาห์ในช่วงเดือนพฤศจิกายนของทุกปี เมื่อผู้คนเริ่มหลั่งไหลกันเข้ามาในเมือง แม้ว่าอากาศจะหนาวเย็นก็ตาม โดยมีไฮไลท์คือพื้นที่บริเวณรอบๆ ปราสาทซึ่งจะประดับแสงไฟในยามค่ำคืน อีกทั้งในช่วงเวลานี้ของปี สวนที่วัดจิอนจิจะมีความสวยงามเป็นพิเศษ

ทางตอนใต้ของเมืองคือแหล่งของถ้ำที่มีน้ำตกใต้ดินสูง 30 เมตรและหินย้อยแปลกตาอายุนับพันปี เส้นทางเดินถ้ำ 700 เมตรเปิดให้ผู้คนทั่วไปได้เดินเข้าชม โดยใช้เวลาประมาณ 30 นาทีต่อรอบ

แถบโอะคุมิโนะเป็นที่ตั้งของสกีรีสอร์ท 10 แห่ง ซึ่งมีสายรถบัสเชื่อมต่อโดยตรงจากสนามบินนานาชาติชูบุ เซ็นแทร์ โอะคุมิโนะมีทั้งความสะดวกสบาย ตัวเลือกลานสกีมากมาย ปุยหิมะเนื้อนุ่ม และวิวงามเกินบรรยาย จึงเป็นแหล่งดึงดูดนักสกีและนักสโนว์บอร์ดจากทั่วประเทศญี่ปุ่น

ครั้งหนึ่งเซกิเป็นแหล่งที่เชี่ยวชาญในด้านการผลิตดาบซามูไร แต่เมื่อสิ้นสุดยุคเอโดะ (1603-1867) ที่นี่จำเป็นต้องเปลี่ยนไปผลิตเครื่องมือเครื่องใช้ทั่วไปแทน เช่น มีดทำครัว เครื่องตัดต่างๆ และเครื่องมืออื่นๆ ที่มีใบมีด เนื่องจากความทันสมัยเริ่มเข้ามามีบทบาท ในปัจจุบันเครื่องมือเครื่องใช้และอุปกรณ์ต่างๆ ที่ผลิตทุกวันที่นี่ก็เป็นของฝากชิ้นล้ำค่า ขณะที่พิพิธภัณฑ์การตีดาบก็มีการสาธิตวิธีทำให้ดูกันสดๆ ซึ่งดึงดูดผู้เยี่ยมชมเข้ามามากมาย

เดินออกมาจากที่นี่เพียงอึดใจเดียวก็จะพบกับวัดเซนโคจิ ประจำเซกิ ซึ่งตั้งชื่อตามวัดพี่น้องที่ใหญ่โตกว่าและมีชื่อเสียงกว่าในเมืองนะงะโนะ วัดแห่งนี้มีเส้นทางเดินจาริกแสวงบุญสั้นๆ และมีตรอกใต้ดินมืดสนิทให้คุณได้สัมผัสกับประตูสู่ชีวิตในภพหน้า