วัดโฮริวจิ 法隆寺

สัมผัสกับประวัติศาสตร์และประเพณีอันยาวนานกว่า 14 ศตวรรษ วัดโฮริวจิเป็นสถานที่สำหรับฝึกปฏิบัติตามหลักของศาสนาในญี่ปุ่นมาตั้งแต่คริสตศตวรรษที่ 7 บริเวณวัดเป็นที่ตั้งของอาคารไม้ที่น่าทึ่งและโครงสร้างของอาคารได้สื่อถึงภาพลักษณ์ของญี่ปุ่นในสมัยนั้น อาคารต่างๆที่อยู่ในเขต ไซอิน กะรัน ทางตะวันตก เช่น วิหารคนโด เจดีย์ห้าชั้น ประตูกลาง และทางเดินซึ่งเป็นสิ่งปลูกสร้างด้วยไม้ที่เก่าแก่ที่สุดในโลกที่ยังหลงเหลืออยู่

จากสถานีเจอาร์โอซากา ขึ้นสายยามาโทจิในเส้นโอซากาลูปไลน์ และลงที่สถานีโฮริวจิ และเดินประมาณ 20 นาทีจากสถานี นอกจากนี้ยังสามารถนั่งรถบัสไปยังโฮริว-จิ ซังโด โดยลงที่ป้ายโฮริว-จิ ซังโด

จากสถานีเจอาร์เกียวโต ขึ้นสายนาราบนยามาโทจิไลน์ และลงที่สถานนีเจอาร์โฮริวจิ จากสถานีคุณสามารถเดินเท้าไปยังวัดหรือสามารถนั่งรถบัส

จากสถานีคินเททสึเกียวโต ขึ้นสายคินเททสึเกียวโต/คาชิฮาระ และลงที่สถานีคินเททสึ ทสึทสึอิ และนั่งรถบัสที่มุ่งหน้าไปทางสถานีเจอาร์โอจิ และลงรถที่ป้ายโฮริวจิ-มาเอะ

วัดโฮริวจิคาดว่าก่อตั้งขึ้นในปีค.ศ. 607 โดยจักรพรรดินีสุอิโกะและเจ้าชายโชโตคุ ซึ่งต่อมาได้เป็นผู้สำเร็จราชการแทนจักรพรรดินีและเป็นผู้สนับสนุนพระพุทธศาสนาอย่างจริงจังในญี่ปุ่น รวมถึงเป็นบุคคลสำคัญทางประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่นโดยมีบันทึกไว้ว่าเจ้าชายโชโตคุได้ประกาศใช้ “รัฐธรรมนูญสิบเจ็ดมาตรา" ซึ่งถึอเป็นกฏหมายฉบับแรกของญี่ปุ่นในปีค.ศ. 604 นอกจากนี้พระองค์ยังส่งราชทูตไปยังราชวงศ์สุยของจีนโดยมีเป้าหมายเพื่อเรียนรู้วัฒนธรรมและระบบปฏิบัติต่างๆจากภาคพื้นทวีปเพื่อนำมาประยุกต์ใช้เพื่อความก้าวหน้าของญี่ปุ่น

แผนผังของวัดโฮริวจิประกอบด้วยสองส่วน; ส่วนตะวันตกซึ่งมีศูนย์กลางอยู่ที่เจดีย์ห้าชั้น และวิหารคนโด ; ส่วนตะวันออก เป็นสิ่งปลูกสร้างที่ถูกจัดวางโดยรอบยูเมะโดโนะ (วิหารแห่งความฝัน) ภายในกลุ่มอาคารต่างๆในวัดโฮริวจิ เจดีย์ห้าชั้นเป็นเจดีย์ไม้ที่เก่าแก่ที่สุดที่ยังคงหลงเหลืออยู่ เจดีย์มีความสูง 32.5 เมตรจากผิวด้านบนของฐาน และมีเสาแกนกลางที่ทำจากต้นสนไซเปรซซึ่งถูกตัดนำมาใช้เป็นแกนกลางในปี ค.ศ. 594 จุดเชื่อมต่อของเสาแกนกลางมีความยืดหยุ่นซึ่งช่วยดูดซับพลังงานในกรณีที่เกิดแผ่นดินไหวได้อย่างมีประสิทธิภาพ

วิหารคนโดเป็นอาคารไม้เก่าแก่ที่สุดที่ยังคงหลงเหลืออยู่ และใช้เก็บรักษาสมบัติทางวัฒนธรรมที่สำคัญที่สุดของวัด ภาพวาดอันปราณีตเกี่ยวกับแดนสุขาวดีและพระโพธิสัตว์ได้เคยจัดแสดงไว้ที่นี้ แต่เนื่องจากถูกไฟไหม้เสียหายทำให้ต้องถูกย้ายออกไปเพื่อทำการเก็บรักษา และแทนที่ด้วยผลงานจำลองสำหรับจัดแสดงต่อสาธารณะ

ในส่วนตะวันออก ยูเมะโดโนะอาคารรูปหกเหลี่ยมที่สวยงามได้ถูกสร้างขึ้นในเขตพระราชวังส่วนพระองค์ของเจ้าชายโชโตคุ ซึ่งพระองค์ได้ประทับอยู่จนสิ้นพระชนม์ในปี ค.ศ. 622 และได้ถูกตั้งชื่อหลังจากตำนานที่กล่าวว่าพระพุทธรูปสีทองได้ปรากฏต่อเจ้าชายโชโตกคุในความฝัน อาคารหลังนี้ได้สร้างขึ้นเพื่อรำลึกถึงพระองค์และพระกรณียกิจในการอุปถัมฐ์พระพุทธศาสนาในญี่ปุ่นตลอดรัชสมัยของพระองค์

โดยรวม วัดโฮริวจิได้เก็บรักษาโบราณวัตถุและอาคารสำคัญทางวัฒนธรรมประมาณ 2,500 ชิ้น ซึ่งแสดงถึงรายละเอียดทางประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่นตลอด 1,400 ปี และมีจำนวนเกือบ 190 ชิ้นที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นสมบัติของชาติและสมบัติสำคัญทางวัฒนธรรม ซึ่งจากบทบาทความสำคัญของวัดในด้านการดูแลรักษาประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่น ทำให้องค์การยูเนสโกได้ขึ้นทะเบียนวัดโฮริวจิเป็นมรดกโลก โดยเป็นวัดแห่งแรกในญี่ปุ่นที่ได้รับคัดเลือก

เมืองนาราเป็นเมืองหลวงเก่าของญี่ปุ่น ทำให้อุดมสมบูรณ์ไปด้วยเรื่องราวทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม หลังจากที่ได้เยื่ยมชมวัดโฮริวจิแล้ว ไม่ควรพลาดชมสวนสาธารณะนารา ซึ่งคุณจะได้สัมผัสกับสวนและธรรมชาติที่เขียวขจี รวมถึงสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมมากมาย เช่น พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาตินารา ซึ่งเป็นพิพิธภัณฑ์ศิลปะที่สวยงามตั้งอยู่ในสวนสาธารณะนารา นักท่องเที่ยวสามารถเรียนรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของพระพุทธศาสนาในญี่ปุ่นผ่านการจัดแสดงงานศิลปะทางพุทธศาสนา

และภายในสวนสาธารณะนารา วัดโคฟุคุจิ เป็นอีกหนึ่งวัดที่เก่าแก่และมีชื่อเสียงที่สุดของญี่ปุ่นโดยมีอายุกว่า 1,300 ปี และวัดโทไดจิ ซึ่งเป็นแลนด์มาร์คสำคัญของเมืองนารา และในเดือนมีนาคม เทศกาลโอมิซุโทริ ซึ่งเป็นเทศกาลสรงน้ำพระ และมีการจัดพิธีที่น่าตื่นตาตื่นใจ ซึ่งกล่าวกันว่าจะช่วยปกป้องผู้ร่วมงานจากความเจ็บป่วยและความชั่วร้าย