เมะโอโตะอิวะ (มิเอะ) 夫婦岩（三重）

คู่รักที่เดินทางผ่านบริเวณมิเอะ อาจจะเพลิดเพลินไปกับการเดินทางไปยังชายหาดเพื่อชมความงามแสนโรแมนติกของเมะโอโตะอิวะหรือ ”หินแต่งงาน" หินศักดิ์สิทธิ์ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับนิกายชินโตและสัญลักษณ์ของความเป็นชายและหญิง หินสองก้อนนี้ผูกเข้ากันด้วยเชือกศักดิ์สิทธิ์ชิเมะนะวะซึ่งแบ่งโลกมนุษย์และโลกแห่งจิตวิญญาณ

การเช่ารถเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการเดินทางไปยังเมะโอโตะอิวะ คุณจะสามารถจอดรถได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย

หากคุณนั่งรถไฟจากอิเสะ นั่งรถไฟสายเจอาร์ซังกุจากสถานีอิเสะชิไปยังสถานีฟุตามิโนะอุระโดยใช้เวลามากกว่า 5 นาทีเพียงเล็กน้อย จากที่นั่น จะใช้เวลาประมาณ 15 นาทีบนเส้นทางเดินอันงดงามไปยังเมะโอโตะอิวะ

ในอีกทางหนึ่ง รถบัสที่มุ่งหน้าไปยังโทบะจากสถานีเจอาร์อิเสะชิหรือสถานีคินเท็ตสึ อุจิยามะดะที่อยู่ใกล้เคียงนั้นจะพาคุณเดินทางไปในเวลาประมาณ 20 นาที

หินสองก้อนนอกชายฝั่งนี้มอบโอกาสในการถ่ายภาพที่ไม่เหมือนใครเนื่องจากสถานที่ ระดับน้ำ และเชือกขนาดใหญ่ที่ผูกหินทั้งสองก้อนนี้ไว้

ในช่วงเดือนก่อนและหลังครีษมายัน คุณสามารถถ่ายภาพดวงอาทิตย์ที่ปรากฏขึ้นมาระหว่างโขดหินทั้งสองได้ ในเช้าที่อากาศแจ่มใสในฤดูหนาวคุณสามารถมองเห็นภูเขาไฟฟูจิได้จากระยะไกล

เมโอโตะ อิวะเป็นที่รู้จักในฐานะสัญลักษณ์ของการเจริญพันธุ์และความสุขในชีวิตสมรส เนื่องมาจากการที่หินทั้งสองตั้งอยู่เคียงข้างกัน โดยผูกเข้าด้วยกันด้วยเชือกศักดิ์สิทธิ์ชิเมนาวะห้าเส้น เชือกเหล่านี้จะถูกเปลี่ยนปีละสามครั้ง ในเดือนพฤษภาคม กันยายน และธันวาคม

หินที่มีขนาดใหญ่กว่าคือผู้ชาย และหินที่มีขนาดเล็กกว่านั้นคือผู้หญิง เมื่อทราบเช่นนี้แล้ว คุณจะเข้าใจได้ทันทีว่าชื่อเมะโอโตะอิวะซึ่งหมายความว่า "หินแต่งงาน" นั้นมีที่มาอย่างไร

ลูกสาวของอิซานางิและอิซานามิ คืออามาเทราสุผู้ซึ่งตำนานเล่าว่าเป็นบรรพบุรุษของราชวงศ์ญี่ปุ่นนั้นประดิษฐานอยู่ที่ศาลเจ้าอิเสะจิงกูที่อยู่ใกล้เคียง ในระยะทางไม่ไกลจากจุดชมวิวเมะโอโตะอิวะ คุณจะพบกับศาลเจ้าฟูตามิโอคิทามะ

แม้ว่าศาลเจ้านี้จะอุทิศให้แก่ซะรุตะฮิโกะ เทพแห่งแผ่นดินโลก แต่จุดเด่นของที่นี่คือกบจำนวนมากที่ตกแต่งบริเวณพื้นดินแถวนี้ กบเหล่านี้ถือว่าเป็นลางที่ดี เนื่องจากคำศัพท์ภาษาญี่ปุ่นสำหรับกบ "คะเอะรุ" มีความหมายว่า "ย้อนคืน" ดังนั้น ผู้เยี่ยมชมสถานที่แห่งนี้จะอธิษฐานให้ได้รับของมีค่าหรือผู้คนที่มีค่าสำหรับตนเองกลับมา

คุณสามารถรวมทริปการเดินทางไปยังหินสองก้อนนี้เข้ากับการเดินทางไปยังพิพิธภัณฑ์ฮินจิตสึกังที่อยู่ใกล้เคียง ซึ่งเป็นที่พักรับแขกสำหรับบุคคลสำคัญที่มายังศาลเจ้าอิเสะจิงกู