การลิ้มลองสาเกท้องถิ่นเปรียบเหมือนรางวัลสำหรับการท่องเที่ยวทั่วญี่ปุ่น  

การผลิตสาเกอย่างปราณีตโดยใช้เพียงน้ำและข้าวทำให้สาเกถือเป็นเครื่องดื่มประจำชาติของญี่ปุ่น การหมักสาเกมีอยู่ทั่วญี่ปุ่นโดยใช้วัตถุดิบที่มีอยู่ในท้องถิ่น โรงผลิตสาเกบางแห่งอาจเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชม ดังนั้นจึงไม่ควรพลาดเมื่อเดินทางไปถึง

เพลิดเพลินไปกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่หลากหลายของญี่ปุ่น  

การเลือกสรรเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อย่างปราณีตเป็นความภาคภูมิใจของชาวญี่ปุ่น ไม่ว่าจะเป็นสาเก เบียร์ และวิสกี้ต่างเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย รวมไปถึง อุเมะชุ จิน ไวน์ และอื่นๆอีกมากมาย

คุณสามารถเพลิดเพลินไปกับเครื่องดื่มต่างๆเหล่านี้ได้ที่ร้านอิซะกายะ ที่ร้านอิซะกายะและผับของญี่ปุ่นจะให้บริการอาหารที่หลากหลายไปพร้อมกับเครื่องดื่มชนิดต่างๆ  คุณสามารถเพลิดเพลินกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของคุณไปพร้อมกับดื่มด่ำบรรยากาศที่แสนมีชีวิตชีวา

อีกทางเลือกหนึ่ง กรณีที่คุณชอบดื่มในโรงแรมที่พักของคุณ หรือดื่มในพื้นที่เปิดโล่งต่างๆ คุณสามารถซื้อเครื่องดื่มจากร้าน "ซากายะ" (ร้านขายสาเก) ซูเปอร์มาร์เก็ต และร้านสะดวกซื้อต่างๆ 

เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของญี่ปุ่นที่มีชื่อเสียงที่สุด ได้แก่ สาเก 

แน่นอนที่สุดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของญี่ปุ่นที่มีชื่อเสียงที่สุด และเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย ได้แก่ สาเก ซึ่งในภาษาญี่ปุ่นเรียกว่า "นิฮนชุ" คำว่า"นิฮน" มีความหมายว่าญี่ปุ่นซึ่งแสดงถึงความเชื่อมโยงด้านวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ของสาเกจนกระทั่งมีการใช้คำว่าญี่ปุ่นเป็นชื่อเรียก

สาเกมักจะถูกเรียกว่าเป็นไวน์ข้าว เนื่องจากสาเกมีปริมาณแอลกอฮอล์ใกล้เคียงกับไวน์และมักถูกดื่มคู่กับอาหารเช่นเดียวกับไวน์ การเลือกสาเกที่เหมาะกับอาหารจะช่วยขับรสชาติของอาหารญี่ปุ่นได้ดีเช่นเดียวกัน

การผลิตสาเกมีอยู่ทั่วญี่ปุ่น โดยแต่ละภูมิภาคจะมีสาเกที่มีลักษณะเฉพาะต้ว 

ส่วนประกอบสำคัญสำหรับผลิตสาเก ได้แก่ ข้าวที่บดพิเศษ น้ำ และโคจิไรซ์มอลต์ โดยรสชาติของสาเกสะท้อนให้เห็นถึงคุณภาพของวัตถุดิบตามธรรมชาติและความสดใหม่ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญมาก

กระบวนการหมักสาเกมีความซับซ้อนซึ่งเรียกว่ากระบวนการหมักแบบขนานหลายขั้นตอน โดยแป้งข้าวเจ้าจะถูกรีดิวส์ให้เป็นกลูโคสและถูกหมักให้กลายเป็นแอลกอฮอล์พร้อมกันภายในถังหมักเดียวกัน วิธีการหมักนี้จำเป็นต้องอาศัยการดูแลอย่างใกล้ชิดและมีรายละเอียดมากมาย การใส่ใจในการผลิตทำให้สามารถผลิตเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ทำจากวัตถุดิบที่เรียบง่ายแต่มีรสชาติและกลิ่นอายที่เป็นเอกลักษณ์

สาเกสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ชนิด ขึ้นอยู่กับระดับการขัดสีของข้าว และระดับของการเติมแอลกอฮอล์ในระหว่างกระบวนการผลิตสาเก "จุนไม-ชุ" เป็นสาเกแบบดั้งเดิมซึ่งไม่เติมแอลกอฮอล์ในระหว่างการผลิต ส่วนข้าวที่ใช้ในการผลิต "ฮนโซจู-ชุ" เป็นข้าวที่มีขัดสีจนเหลือ 70% หมายถึงเมล็ดข้าวถูกขัดสีจนมีขนาดเล็กลงเป็น 70%ของขนาดเดิมซึ่งเป็นระดับการขัดสีที่น้อยที่สุด สำหรับ "กินโจ-ชุ" ข้าวจะถูกขัดสีมากกว่าจนเหลือ 60%  โดยสาเกแต่ละขนิดมีรสชาติและกลิ่นอายที่มีเอกลักษณ์

สาเกอีกประเภทได้แก่ "สาเกบริสุทธิ์" ผลิตจากการคั้นโมโรมิ ซึ่งในอดีตเป็นเพียงวิธีการเดียวในการที่จะทดลองชิมสาเก แต่ในปัจจุบันได้มีผลิตเพื่อขายในรูปแบบขวด สำหรับช่วงฤดูร้อนสาเกที่เหมาะที่สุดได้แก่ สาเกอัดก๊าซซึ่งมีปริมาณแอลกอฮอล์น้อย ประมาณ 8% และมีรสชาติคล้ายแชมเปญ

การหมักสาเกมีอยู่ทั่วประเทศญี่ปุ่น โรงหมักขนาดเล็กไปจนถึงขนาดกลางที่มีเรื่องราวทางประวัติศาสตร์มีอยู่ทั่วไปตามชนบท และต่างมีสาเกของตนเอง "จิซาเก" (คราฟ์สาเก) ที่ผลิตปริมาณไม่มาก -เปรียบเป็นขุมทรัพย์ทางรสชาติที่สมควรลิ้มลอง

ภาชนะสำหรับดื่มสาเก 

การดื่มสาเกแบบดั้งเดิมนิยมใช้แก้วขนาดเล็กเรียกว่า "โอโจะโกะ" โดยรินจากขวดเหล้าเรียกว่า "โทกคุริ" นอกจากนี้ยังสามารถดื่มจากกล่องไม้สี่เหลี่ยมที่ใช้สำหรับตวงเหล้าเรียกว่า "มะซุ" ในบาร์หรือร้านอิซะกายะบางแห่งจะเสิร์ฟสาเกทั้งสองรูปแบบ โดยการรินสาเกจนกระทั่งล้นจากแก้วลงไปในมะซุด้านล่าง เพื่อเป็นการแสดงให้เห็นว่าคุณไม่ได้ดื่มแค่เต็มแก้ว แต่ดื่มจนล้นแก้ว

การดื่มด่ำไปกับสาเกท้องถิ่นระหว่างการเดินทางเป็นความสุขอย่างยิ่ง

ไม่ควรพลาดชิมสาเกท้องถิ่นระหว่างการเดินทางท่องเที่ยวในญี่ปุ่น สาเกมากมายสามารถหาซื้อได้เฉพาะบริเวณใกล้กับโรงหมักสาเก ดังนั้นการได้ดื่มสาเกท้องถิ่นเหล่านั้นถือเป็นรางวัลสำหรับนักท่องเที่ยว ซี่งรับประกันได้ถึงรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์

สาเกเหมาะกับซูชิและอาหารประเภทเนื้อแตกต่างกัน ดังนั้นสามารถขอคำแนะนำจากผู้ผลิตสาเกหรือเชฟได้โดยไม่ต้องเกรงใจ นอกจากนี้ยังเป็นบทสนทนาที่ดีอย่างยิ่งสำหรับการเริ่มต้นพูดคุยคนในท้องถิ่น และเชื่อมโยงระหว่างสาเกและอาหารของท้องถิ่น