HOME Back

Use the

Planning a Trip to Japan?

Share your travel photos with us by hashtagging your images with #visitjapanjp

Exciting Escapes on the Coastline
ค้นหาจุดท่องเที่ยวที่ซ่อนเสน่ห์เฉพาะตัวของ “โทโฮคุ”

ตะลอนเลียบชายฝั่งทะเลภูมิภาคโทโฮคุ อีกเสน่ห์ของญี่ปุ่นที่คุณอาจยังไม่เคยเห็น

ถ้าพูดถึงการท่องเที่ยวญี่ปุ่น หลายท่านคงจะคุ้นเคยกับการเที่ยวในเมืองใหญ่อย่างโตเกียวและโอซาก้าเป็นหลัก
แต่สำหรับใครที่รักการค้นหาจุดหมายการท่องเที่ยวใหม่ ๆ ที่ไม่ซ้ำใคร ภูมิภาคโทโฮคุน่าจะเป็นที่ที่คุณกำลังตามหา

 

ภูมิภาคโทโฮคุตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของเกาะฮอนชูซึ่งเป็นเกาะหลักของญี่ปุ่น
โดยในพื้นที่โทโฮคุมีทั้งภูเขา เนินเขา และชายฝั่งทะเล ทำให้ที่นี่มีสถานที่ท่องเที่ยวทุกรูปแบบเท่าที่คุณจะนึกออก
อีกทั้งยังมีวัฒนธรรมเฉพาะตัวในแต่ละท้องถิ่นที่ที่มัดใจนักท่องเที่ยวมาแล้วนักต่อนัก
รวมไปถึงอาหารพื้นบ้านที่หาชิมได้ยากและอร่อยจนลืมไม่ลง
ทั้งหมดนี้คือเสน่ห์ของภูมิภาคโทโฮคุที่ทำให้ไปเที่ยวครั้งเดียวก็ไม่เคยพอ
และในทริปนี้เราจะเที่ยวตามแหล่งท่องเที่ยวโทโฮคุที่อาจจะยังไม่ค่อยมีใครรู้จัก
แต่รับรองว่ามีแต่ไฮไลท์เด็ด ๆ ที่ทำให้อยากกลับมาเที่ยวซ้ำกันแน่นอน

 

เขียนโดย พัชรดา เนตรประไพ นักเขียน ANNGLE

 

ศาลเจ้าชิวาฮิโกะและศาลเจ้าชิโอกามะในจังหวัดมิยางิแห่งนี้นับเป็นศาลเจ้าชินโตที่ใหญ่ที่สุดในโทโฮคุและมีประวัติยาวนานกว่า 1,200 ปี เดิมเริ่มมาจากศาลเจ้าชิโอกามะก่อน แล้วจึงค่อยมีการย้ายศาลเจ้าชิวาฮิโกะมาไว้ด้วยกันในภายหลังในปี ค.ศ. 1874 (จึงสังเกตได้ว่าศาลเจ้าชิวาฮิโกะจะมีสถาปัตยกรรมที่มีความใหม่กว่า) โดยใช้เวลาในการย้ายและสร้างใหม่ร่วม 5 ปี

 

 

เห็นเป็นศาลเจ้าที่มีป่าไม้ร่มรื่นแบบนี้ แต่รู้ไหม? ว่าพื้นที่ศาลเจ้าแห่งนี้เดิมเป็นทะเลมาก่อน จนกระทั่งมีการถมที่ดินขึ้นมาอย่างในปัจจุบัน ด้วยอดีตที่ผูกอยู่กับทะเลนี้เองที่ทำให้ศาลเจ้าชิวาฮิโกะและศาลเจ้าชิโอกามะเป็นศาลเจ้าที่คุ้มครองชาวประมง และที่น่าสนใจคือคนญี่ปุ่นมีความเชื่อว่าจะมีเด็กเกิดใหม่ทุกครั้งที่น้ำทะเลลดลงด้วย ดังนั้นคนจึงนิยมมาที่ศาลเจ้าแห่งนี้เพื่อขอพรเรื่องการคลอดบุตรอย่างปลอดภัย

ทันทีที่มาถึง สิ่งแรกที่จะเห็นเลยคือทางเข้าของศาลเจ้าชิโอกามะที่มีบันไดสูงชันรวม 202 ขั้นที่ทอดขึ้นไปบนเนินเขา พร้อมซุ้มประตูโทริอิสร้างจากหินที่บ่งบอกว่าเรากำลังก้าวเข้าไปในเขตแดนของเทพแห่งศาลเจ้า

 

การเดินขึ้นบันไดทั้ง 202 ขั้นแบบนี้อาจจะทำให้ใครหลายคนเหนื่อยจนอยากยอมแพ้ไประหว่างทาง แต่รับรองว่าพอเดินขึ้นมาเจออาคารศาลเจ้าสีแดงที่สวยเด่นตัดกับป่าไม้รอบข้างแล้ว เราจะหายเหนื่อยในทันทีแน่นอน

 

วันที่ผู้เขียนไปถึงเป็นวันที่ 1 ของเดือนพอดี ซึ่งทุกวันที่ 1 ของเดือนที่นี่จะมีพิธีไหว้ขอบคุณเทพเจ้ากัน และผู้เขียนมีโอกาสเห็นคันนุชิผู้ดูแลของศาลเจ้าสวมชุดเต็มยศกำลังเดินผ่านไปเพื่อประกอบพิธีกันด้วย เป็นภาพที่เห็นแล้วให้ความรู้สึกขลังของศาลเจ้าจริง ๆ

 

 

นอกจากนี้ศาลเจ้าแห่งนี้ยังเป็นสถานที่จัดเทศกาลและพิธีกรรมประจำปีมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเทศกาลชมชิโอกามะซากุระ ดอกซากุระโบราณในตำนานและสัญลักษณ์ประจำศาลเจ้าแห่งนี้ในฤดูใบไม้ผลิ หรือเทศกาลชิโอกามะ มินาโตะ หนึ่งในสามเทศกาลแห่เรือสุดยิ่งใหญ่ของญี่ปุ่น และเทศกาลแข่งขันขี่ม้ายิงธนู รวมไปถึงงานเฉลิมฉลองอุตสาหกรรมเกลือด้วย แถมยังมีพิพิธภัณฑ์ให้เราเข้าไปชมสมบัติแห่งชาติต่าง ๆ เช่น ดาบญี่ปุ่น “ไรคุนิมิตสึ (来国光)” และ “อุนโช (雲生)” อีกทั้งยังมีเกี้ยวที่ใช้ในงานเทศกาลชิโอกามะมินาโตะ (塩竃みなと祭) อาวุธกับภาพวาดสมัยเอโดะ งานหัตถกรรม และอื่น ๆ ให้ไปเยี่ยมชมได้ เพราะงั้นไม่ว่าจะมาที่นี่เมื่อไหร่ก็มีวัฒนธรรมและของล้ำค่าของญี่ปุ่นที่น่าสนใจให้ชมตลอดปีแน่นอน

 

 


Gelateria Fruits Laboratory (ร้านเจลาเทอเรีย ฟรุ๊ต ลาโบลาโทรี่)

หลังเยี่ยมชมศาลเจ้าเอาฤกษ์เอาชัยกันแล้ว ต่อไปเรามาพักเติมพลังกับของอร่อยกันที่ร้านเจลาเทอเรีย ฟรุ๊ต ลาโบลาโทรี่ร้านเจลาโต้ยอดฮิตประจำถิ่นที่เริ่มจากธุรกิจร้านขายผลไม้เก่าแก่อายุ 50 ปี ด้วยความที่จำหน่ายผลไม้มานาน ทางร้านจึงเชี่ยวชาญเรื่องการเฟ้นหาแหล่งผลิตผลไม้ที่อร่อยและมีคุณภาพ โดยเน้นการหาผลไม้ตามฤดูกาลมาจำหน่าย จนกระทั่งลูกชายเจ้าของร้านเข้ามาช่วยทำธุรกิจและเล็งเห็นการนำผลไม้ตามฤดูกาลมาต่อยอดเป็นเจลาโต้ที่สื่อถึงความอร่อยของฤดูกาลนั้น ๆ จึงเป็นที่มาของร้านเจลาโต้ผลไม้ยอดฮิตอย่างที่เห็นในปัจจุบัน

 

 

อย่างหนึ่งที่คนรักสุขภาพต้องหลงรักเลยคือเจลาโต้ที่นี่ไม่ใช้วัตถุกันเสีย ไม่เจือสี และไม่แต่งกลิ่นสังเคราะห์ ดังนั้นน้อง ๆ เด็กเล็กและผู้สูงอายุสามารถอร่อยกับเจลาโต้ที่นี่ได้อย่างสบายใจ นอกจากความเฮลตี้แล้ว ที่นี่ยังมีทั้งเจลาโต้ผลไม้ตามฤดูกาลและผลไม้หายากราคาแพงให้ได้เลือกชิมกันด้วย ผู้เขียนเตือนก่อนว่ามีให้เลือกเยอะมากจนเลือกไม่ถูกกันเลยทีเดียว


 

Matsushima Sightseeing Cruise (ล่องเรือครูซชมอ่าวมัตสึชิมะและหมู่เกาะ)

ไฮไลท์ถัดมายังอยู่กันในจังหวัดมิยางิ โดยเราจะมาที่เมืองมัตสึชิมะ เมืองอ่าวที่สวยติดอันดับหนึ่งในสามทิวทัศน์ที่สวยงามที่สุดในญี่ปุ่น และยังสวยติดอันดับโลกด้วย

 

เพื่อพิสูจน์ความงามที่เลื่องลือของอ่าวมัตสึชิมะ เราจึงมาล่องเรือครูซชมอ่าวมัตสึชิมะ โดยใช้บริการเรือของบริษัท Marubun Matsushima Kisen บริษัทเรือที่ใหญ่ที่สุดในมัตสึชิมะและยังเป็นเรือครูซเจ้าเดียวที่มีประกาศอธิบายเกาะต่าง ๆ เป็นภาษาไทยด้วย ดังนั้นไม่ต้องได้ภาษาญี่ปุ่นก็สนุกกับการนั่งเรือได้แน่นอน และถ้ามาเป็นหมู่คณะใหญ่ก็สามารถเหมาเที่ยวเรือนั้น ๆ ได้ด้วย

 

นอกจากวิวผืนทะเลสีหยกตัดกับท้องฟ้าสีครามแล้ว อย่างหนึ่งทีเป็นเสน่ห์ของอ่าวมัตสึชิมะคือเกาะรูปร่างแปลกตามากมายที่มีให้ชมกันไม่เบื่อ ในบรรดาเกาะกว่า 260 เกาะที่รวมอยู่ในอ่าวแห่งนี้ มีเกาะเด่น ๆ ที่น่าสนใจเช่นเกาะนิโอจิมะเกาะที่ถูกคลื่นทะเลกัดเซาะเป็นเวลายาวนานจนมีรูปร่างแปลกตาคล้ายกับเทพพิทักษ์นิโอผู้ปกป้องทางเข้าวัดของญี่ปุ่น

 

และอีกเกาะหนึ่งคือเกาะคัตสึราชิมะ เกาะใหญ่ที่เป็นแหล่งชุมชนชาวประมงและมีฉายา “เกาะมหัศจรรย์” เพราะในเหตุการณ์แผ่นดินไหวและคลื่นยักษ์สึนามิครั้งใหญ่เมื่อปี 2011 นั้น ไม่มีใครบนเกาะนี้ที่เสียชีวิตแม้แต่คนเดียว และเกาะนี้ยังทำหน้าที่ช่วยกำบังทั้งอ่าวจากแรงคลื่นสึนามิอีกด้วย

 

 

นอกจากเกาะต่าง ๆ ที่มองเพลินแล้ว ถ้าสังเกตดี ๆ เราจะได้เห็นฟาร์มสาหร่ายและฟาร์มหอยนางรมของมัตสึชิมะที่เป็นหนึ่งในฟาร์มต้นแบบของโลกอีกด้วย

 

 

ในฤดูร้อน คุณสามารถสนุกกับการเล่นพาราไกลดิ้ง (Paragliding) ที่นี่ได้ด้วย (©Matsushima Paragliding)


Kanrantei Tea House and Matsushima Museum (โรงน้ำชาคันรันเท และ พิพิธภัณฑ์มัตสึชิมะ)

หลังจากล่องเรือวนรอบอ่าวมัตสึชิมะแล้ว เรามาเปลี่ยนมุมชมวิวอ่าวกันที่โรงน้ำชาคันรันเท ซึ่งเป็นเรือนไม้ชั้นเดียวที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นทรัพย์สินทางวัฒนธรรมของจังหวัดมิยางิ เดิมอาคารโรงน้ำชาคันรันเทเคยเป็นส่วนหนึ่งของปราสาทฟุชิมิ โมโมยามะในเกียวโต และต่อมาถูกมอบให้ ดาเตะ มาซามูเนะ ซึ่งเป็นผู้ครองแคว้นเซนไดในช่วงปลายศตวรรษที่ 16 แล้วถูกรื้อย้ายมาสร้างใหม่ยังมัตสึชิมะอย่างที่เห็นในปัจจุบัน

โรงน้ำชาคันรันเทตั้งอยู่บนแหลมเรียกว่า "สึกิมิซากิ" (แหลมชมจันทร์) จึงถูกตั้งชื่อว่า "สึกิมิโกะเท็น" (Tsukimigoten, เรือนชมจันทร์) จนกระทั่งผู้ครองแคว้นรุ่นที่ 5 ดาเตะ โยชิมูระ ได้เปลี่ยนชื่อโรงชาเป็น “คันรันเท” ซึ่งแปลว่า “โรงชมระลอกคลื่นบนผิวน้ำ” และกลายเป็นโรงน้ำชาประจำตระกูลดาเตะซึ่งถูกใช้รับรองเหล่าซามูไร เจ้าหญิง รวมไปถึงคนสำคัญในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นมากมาย

 

 

นอกจากประวัติเก่าแก่ที่น่าสนใจแล้ว โรงน้ำชาคันรันเทยังมีห้องโกซาโนมะ ห้องที่โดดเด่นด้วยประตูบานเลื่อนปิดทองคำเปลวที่ตกแต่งด้วยภาพวาดต้นสนและธรรมชาติต่าง ๆ ซึ่งเป็นสมบัติทางวัฒนธรรมที่สำคัญของประเทศญี่ปุ่น

 

ปัจจุบันคันรันเทเปิดให้บุคคลทั่วไปอย่างพวกเราเข้าชมได้ โดยตอนซื้อตั๋วเข้าชมที่ทางเข้าเราจะเลือกได้ว่าจะเข้าไปชมสถานที่อย่างเดียว หรือจะสั่งเซ็ตชาเขียวพร้อมกับขนมญี่ปุ่นมานั่งชิมด้วย แน่นอนว่ามาทั้งทีเราก็ต้องได้เพลิดเพลินกับทั้งวิวและของอร่อยของที่นี่ให้ได้

 

 

นอกจากชาเขียวหอมเข้มที่ตัดหวานกับขนมญี่ปุ่นจนเป็นรสหวานละมุนกำลังดีแล้ว สิ่งที่ดีต่อใจมาก ๆ ของที่นี่ก็ต้องยกให้วิวคลื่นอ่าวมัตสึชิมะที่มองเห็นได้จากโรงน้ำชาแห่งนี้เลย ซึ่งวิวนี้คือวิวเดียวกันกับที่ดาเตะ มาซามูเนะ ขุนพลระดับตำนานของญี่ปุ่นและบุคคลในประวัติศาสตร์มากมายได้เห็นกันมาแล้วเป็นเวลานับร้อยปี พอคิดแบบนี้แล้วก็รู้สึกได้เลยว่าโรงน้ำชานี้เป็นสถานที่ที่มีความงามเหนือกาลเวลาจริง ๆ จนบางครั้งก็รู้สึกเหมือนได้นั่งอร่อยกับน้ำชาไปพร้อม ๆ กับคนในอดีตก็ว่าได้


 

Mt. Otaka-Mori (เขาโอตากาโมริ)

ถ้าเป็นวันที่อากาศดี อย่างหนึ่งที่นักท่องเที่ยวต้องทำเพื่อปิดท้ายทริปมัตสึชิมะคือการไปชมพระอาทิตย์ตกดินที่ภูเขาโอตากาโมริที่มีความสูงถึง 105.8 เมตร ซึ่งใช้เวลาเดินเท้าขึ้นไปยังจุดสูงสุดประมาณ 20 นาที จากบนจุดชมวิวแล้วเราจะมองเห็นเกาะทั้ง 260 เกาะในอ่าวและแสงสุดท้ายของวันอย่างในรูปนี้เลย วันที่ผู้เขียนไปนั้นเป็นวันที่ฝนตกเลยพลาดโอกาสนี้ไปอย่างน่าเสียดาย แต่ถ้าถามรีวิวจากคนที่เคยชมวิวนี้มาแล้วล่ะก็ หลายคนจะบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า “เป็นวิวสวยหลักล้านที่เอาอะไรมาแลกก็ไม่ยอม”

 


 

Aomina Visitor Center (อาโอมินะ วิซิเตอร์ เซ็นเตอร์)

ไฮไลท์ของมัตสึชิมะไม่ได้มีแค่การนั่งจิบชาชมทะเลเท่านั้น เพราะที่นี่มีอีกไฮไลท์หนึ่งคือการปั่นจักรยานเที่ยวโอคุมัตสึชิมะ ซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันออกของเมืองมัตสึชิมะ โดยระหว่างเส้นทางปั่นจักรยานเราจะได้เห็นวิวเมืองและทะเลอย่างจุใจ ทำให้กิจกรรมนี้ได้รับความนิยมจนมีการจัดอีเว้นท์ปั่นจักรยานเช่น Tour de Tohoku 2018

สำหรับจักรยานนั้นมีให้เลือกเช่าทั้งแบบผู้ชายและผู้หญิง แถมจองไกด์ท้องถิ่นให้ช่วยนำทางได้หากกลัวหลงทาง ดังนั้นจึงเที่ยวสนุกได้แบบหายห่วง


 

A-FACTORY (เอ แฟคทอรี่)

ต่อจากจังหวัดมิยางิแล้ว เรามาขึ้นเหนือสุดของโทโฮคุกันที่จังหวัดอาโอโมริ อาณาจักรแห่งแอปเปิ้ลที่อร่อยที่สุดในญี่ปุ่น โดยเราจะเริ่มกันที่ A-FACTORY ศูนย์รวมร้านค้าน่าเดินที่ตั้งอยู่ใกล้กับสถานีรถไฟ Aomori (อาโอโมริ)

ภายใน A-FACTORY จะถูกแบ่งโซนออกเป็นสองชั้น โดยชั้นล่างจะเป็นแหล่งรวมของฝากขึ้นชื่อของจังหวัดอาโอโมริ ไม่ว่าจะเป็นหอยเชลล์ ปลาซาบะ ซอสเนื้อย่าง และยังมีร้านขายเบอร์เกอร์กับคาเฟ่ขนาดย่อม ส่วนชั้น 2 จะเป็นร้านอาหารและมีมุมที่สามารถเลือกชิมแอปเปิ้ลไซเดอร์รสชาติต่าง ๆ มากถึง 8 ชนิดด้วยกัน นอกจากนี้ อีกจุดเด่นหนึ่งของ A-FACTORY คือที่นี่มีการรับผลิตภัณฑ์จากกลุ่มผู้บกพร่องทางร่างกายมาจำหน่าย โดยทาง A-FACTORY ทำหน้าที่ช่วยออกแบบแพ็กเกจให้ดูน่าสนใจ ดังนั้นการช้อปของเราที่นี่สามารถกลับไปเป็นแรงสนับสนุนให้กับผู้คนในจังหวัดได้ด้วย

 

 

และแน่นอนว่าที่นี่ก็มีหลากผลิตภัณฑ์จากแอปเปิ้ลที่เป็นของขึ้นชื่ออันดับหนึ่งของอาโอโมริด้วย โดยมีทั้งผลแอปเปิ้ลสด น้ำแอปเปิ้ล เจลาโต้แอปเปิ้ล พายแอปเปิ้ล และแอปเปิ้ลชิพวางจำหน่าย ใครที่หลงรักแอปเปิ้ลอาโอโมริไม่ควรพลาดเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะน้ำแอปเปิ้ล เพราะน้ำแอปเปิ้ลส่วนใหญ่ที่เราดื่มกันนั้นจะเป็นน้ำที่ผสมแอปเปิ้ลหลากหลายสายพันธุ์เพื่อรสชาติที่กลมกล่อม แต่ที่นี่เราจะได้ชิมน้ำแอปเปิ้ลทั้งแบบผสมและแบบเพียว ๆ ที่ทำจากแอปเปิ้ลสายพันธุ์นั้นล้วน ๆ เช่น สายพันธุ์ San fuji ที่รสชาติออกเปรี้ยวหวานปนกันไป ส่วนเจลาโต้แอปเปิ้ลก็มีให้เลือกชิมมากถึง 5 สายพันธุ์ด้วยกัน โดยจะมีป้ายที่บอกว่าเจลาโต้แอปเปิ้ลนี้มีคะแนนความหวานความเปรี้ยวอย่างไรเพื่อให้เราเลือกตัดสินใจได้ง่ายยิ่งขึ้น

 

 

ถ้าคุณรู้สึกหิวขึ้นมาระหว่างเดินช้อปปิ้ง ที่ชั้น 2 จะมีร้านอาหารให้ไปฝากท้องกันได้ โดยเมนูเด่นของที่นี่คือกาเล็ตต์ ขนมที่คล้ายเครปแต่แป้งจะมีความหนากว่า และมีเนื้อสัมผัสที่ต่างจากเครปเพราะใช้แป้งบัควีตเป็นส่วนผสม เราสามารถเลือกไส้ต่าง ๆ ได้ทั้งหมด 4 เมนู หรือถ้าอยากได้ของหนักท้องหน่อย ที่นี่ก็มีเมนูแกงกะหรี่ไก่และข้าวหน้าเซอร์ลอยน์สเต๊กให้เลือกเช่นกัน นอกจากนี้ที่นี่ยังขึ้นชื่อเรื่องหัวแครอทที่ปลูกให้โตใต้หิมะจนมีรสหวานเป็นพิเศษอีกด้วย โดยมีสตูเนื้อที่ใส่แครอทดังกล่าวแบบซื้อกลับบ้านได้ มาในแพ็กเกจกล่องกระดาษสีส้มรูปแครอทที่น่ารักน่าซื้อจนเห็นแล้วกระเป๋าตังค์สั่น ทั้งนี้ทั้งนั้น ไม่ว่าคุณจะอยากชิมของหวานหรืออยากอิ่มเต็มที่กับมื้ออาหารอร่อย ๆ ที่นี่ก็มีหมด


 

Lake Towada Excursion Boat (เรือชมวิวทะเลสาบโทวาดะ)

มาที่วิวห้ามพลาดของอาโอโมริกันบ้าง จุดหมายของเราคือทะเลสาบโทวาดะ ทะเลสาบปล่องภูเขาไฟที่ใหญ่ที่สุดบนเกาะฮอนชูและทะเลสาบที่ลึกเป็นอันดับ 3 ของญี่ปุ่น ซึ่งตั้งคาบระหว่างจังหวัดอาโอโมริและจังหวัดอาคิตะที่อยู่ทางใต้ โดยเป็นทะเลสาบที่เกิดจากการปะทุของภูเขาไฟที่ทำให้ปากปล่องทรุดลงไปเป็นหลุมขนาดใหญ่ ถึงจะรู้ประวัติแบบนี้ แต่พอได้มาเห็นของจริงแล้ว บางทีผู้เขียนยังเผลอนึกเลยว่าเรากำลังมาเที่ยวทะเลอยู่ เพราะทะเลสาบนั้นกว้างสุดลูกหูลูกตาจริง ๆ

 

วิวที่ผู้เขียนได้เห็นตรงหน้านั้นคือวิวทะเลสาบเฉดน้ำเงินเข้มสวยงามที่ล้อมด้วยภูเขาสูงสีเขียวตัดกันเป็นวิวที่ให้ความรู้สึกสดชื่นสุด ๆ และถ้ามาในฤดูใบไม้ร่วงที่เป็นช่วงไฮไลท์ของที่นี่ ภูเขาสีเขียวโดยรอบจะเปลี่ยนเป็นเฉดแดงเหลืองส้มที่สะท้อนในผิวน้ำ เป็นวิวที่ใครหลายคนต่างตั้งใจมาเพื่อชมให้ได้โดยเฉพาะ

 

แน่นอนว่าการชื่นชมธรรมชาติของทะเลสาบที่ดีที่สุดคือการล่องเรือ โดยจากบนเรือเราจะได้เห็นวิวทะเลสาบและธรรมชาติรอบ ๆ ได้แบบพาโนรามา ทำให้เราได้เห็นมุมต่าง ๆ ที่สวยงามของที่แห่งนี้ โดยเฉพาะในฤดูใบไม้ร่วงที่ถือเป็นฤดูไฮไลท์ของที่นี่ ซึ่งเราจะได้เห็นสีสันของใบไม้เปลี่ยนสีตัดกับผืนน้ำสีน้ำเงินได้แบบพาโนรามาจากบนเรือ สำหรับเส้นทางการเดินเรือจะมีให้เลือกทั้งหมด 2 เส้นทาง ดังนี้
คอร์ส A จาก Yasumiya (ยะสุมิยะ) (ท่าเรือใกล้ JR HOUSE TOWADA; เจอาร์ เฮ้าส์ โทวาดะ) ไปยัง Nenokuchi (เนะโนะคุจิ)
คอร์ส B เป็นการชม Ogura, Nakayama-hanto (คาบสมุทรโอคุระและคาบสมุทรนากายามะ) โดยออกจาก Yasumiya ล่องเลียบชายฝั่งทะเลสาบแล้ววกกลับไปยังที่เดิม
ค่าโดยสาร 1,430 เยน เรือออกทุกชั่วโมง ตั้งแต่ 8.15-14.45 น.

 

 

ระหว่างล่องเรือเราจะเห็นเกาะเล็ก ๆ ชื่อเกาะเอบิสุ ไดโกคุ ที่มีแลนด์มาร์กคือศาลเจ้าเล็ก ๆ บนเกาะ ซึ่งถัดจากศาลเจ้าจะมีรูปปั้น The Bronze Statue of Maidens รูปปั้นหญิงเปลือยคู่ในท่ายื่นมือเข้าหากันซึ่งเป็นผลงานของคุณโคทาโร ทาคะมูระ กวีและประติมากรชาวญี่ปุ่น

 

 

ถ้าล่องเรือเสร็จแล้วยังมีเวลาอยู่ บริเวณรอบ ๆ ทะเลสาบก็มีแหล่งท่องเที่ยวและกิจกรรมให้ทำมากมาย เช่น การเดินเล่นริมทะเลสาบ การถีบเรือเป็ด การพายเรือคายัค ล่องเรือชมทิวทัศน์ ตั้งแคมป์ สักการะศาลเจ้า และนั่งชิมพายแอปเปิ้ลที่คาเฟ่เจ้าดังประจำถิ่น

 

 

ในฤดูร้อน คุณสามารถสนุกกับการพาย SUP ที่นี่ได้ด้วย (©4-Ride)


Hoshino Resorts Aomoriya (โฮชิโนะ รีสอร์ท อาโอโมริยะ)

Hoshino Resorts Aomoriya เป็นรีสอร์ทในเครือ Hoshino Resorts สุดพิเศษในจังหวัดอาโอโมริ โดยรีสอร์ทแห่งนี้เป็นมากกว่าที่พัก เพราะที่นี่มีการรวมศิลปะและวัฒนธรรมอันเป็นเอกลักษณ์ต่าง ๆ ของจังหวัดไว้ให้เราได้สัมผัสกันในที่เดียว ชนิดที่ว่าไม่ต้องออกไปไหนก็สนุกกับประสบการณ์สไตล์อาโอโมริได้เต็มที่

 

 

หนึ่งในไฮไลท์เด็ดคือการนำโคมไฟของเทศกาลโคมไฟเนบูตะ (เทศกาลฤดูร้อนสุดยิ่งใหญ่ของจังหวัด) มาตกแต่งสวนภายในรีสอร์ทในฤดูหนาว ทำให้เราได้เห็นสัญลักษณ์แห่งฤดูร้อนและบรรยากาศฤดูหนาวของจังหวัดอาโอโมริอยู่ด้วยกันในที่เดียว แม้ผู้เขียนจะไปถึงในช่วงต้นฤดูใบไม้ร่วง แต่ที่นี่ก็ยังมีโคมไฟเนบูตะให้เห็นอยู่ ด้วยขนาดโคมไฟที่ใหญ่ยักษ์และงานทาสีตกแต่งที่ทำให้โคมไฟดูราวกับภาพวาดวิจิตรที่มีชีวิต ผู้เขียนก็เริ่มรู้สึกตื่นเต้นได้ไม่ยากเลย ถ้าได้ไปเห็นของจริงในงานเทศกาลล่ะก็ คงได้เผลอไปร่วมวงเต้นกับผู้คนในขบวนแห่โคมแน่นอนเลย

 

 

หลังจากเช็คอินเรียบร้อยแล้ว เราสามารถเดินเล่นชมสวนสไตล์ญี่ปุ่นและนั่งแช่อนเซ็นเท้าผ่อนคลายหลังจากการเดินทางได้ แต่ถ้าคุณกำลังมองหาอะไรสนุก ๆ ล่ะก็ ให้ลงไปยังชั้นใต้ดินของรีสอร์ทซึ่งจะมีลานกิจกรรมให้เราเล่นได้ โดยกิจกรรมที่นี่จะถูกเปลี่ยนไปตามฤดูกาล เช่น ตกหอยเชลล์ ทำกระดาษสาญี่ปุ่นจากเปลือกและก้านของต้นแอปเปิ้ล และชมการแสดงต่าง ๆ ทั้งนี้ทั้งนั้น สิ่งที่ผู้เขียนชอบมากที่สุดคือที่นี่มีต้นแอปเปิ้ลที่กดน้ำแอปเปิ้ลดื่มฟรีได้แบบไม่อั้นด้วย เล่นเอาผู้เขียนกดดื่มเพลินไปเลยทีเดียว อีกอย่างหนึ่งที่คิดว่าทุกคนโดยเฉพาะเพื่อน ๆ สาว ๆ น่าจะชอบกันคือ ที่นี่จะมีบริการให้ยืมชุดยูกาตะน่ารัก ๆ ให้สวมระหว่างเล่นกิจกรรมที่นี่ได้ด้วย ได้ใส่ชุดญี่ปุ่นเล่นกิจกรรมในบรรยากาศงานเทศกาลญี่ปุ่นแบบนี้ ถือว่าได้สานฝันคนรักญี่ปุ่นหลายคนได้ทีเดียวเลยค่ะ

 

 

หลังสนุกกับกิจกรรมเสร็จก็ใกล้ได้เวลามื้อค่ำ ด้วยความที่ยังพอมีเวลาอยู่ ผู้เขียนจึงแว๊บไปแช่อนเซ็นชมวิวสวย ๆ ไปพลาง แต่หากใครรู้สึกเขินอายที่ต้องแช่อนเซ็นบ่อรวม ก็สามารถเลือกพักห้องที่มีบ่ออนเซ็นส่วนตัวให้แช่ได้เช่นกัน โดยวิวจากห้องส่วนตัวจะเป็นวิวธรรมชาติที่ไร้เงาผู้คนรบกวน ดังนั้นเราจึงสามารถผ่อนคลายและให้เวลากับตัวเองได้เต็มที่

 

 

Picture credit: Hoshino Resorts Aomoriya

 

 

 

Picture credit: Hoshino Resorts Aomoriya

 

 

และแล้วก็มาถึงมื้อค่ำที่รอคอย มื้ออาหารที่นี่จะเป็นการนำวัตถุดิบท้องถิ่นมารังสรรค์เป็นเมนูต่าง ๆ ซึ่งบางเมนูเป็นการประยุกต์อาหารพื้นบ้านที่ปัจจุบันหาทานยากแล้วมาเป็นเมนูอร่อย ๆ ให้ชิมกัน และหลังจากที่หนังท้องตึงแล้วจะมีการแสดงดนตรีพื้นบ้านเพื่อสร้างสีสันให้กับมื้ออาหารกันด้วย โดยนักแสดงจะนำพลั่วและที่เปิดฝาขวดมาเคาะประกอบจังหวะสนุก ๆ จนบางคนได้ฟังแล้วอาจจะอยากลุกขึ้นไปร่วมวงด้วยเลยก็ได้

 

 

เช้าวันรุ่งขึ้นก่อนจะเช็คเอ้าท์ ผู้เขียนจองทัวร์นั่งรถม้าที่จะพาเราชมสวนของรีสอร์ทพร้อมอร่อยกับแอปเปิ้ลไปด้วย เป็นการปิดท้ายการพักที่นี่อย่างไม่เลวเลย ขอแถมนิดนึงว่า ถ้าได้มาเยือนในฤดูหนาวล่ะก็ บรรยากาศที่นี่จะเลอค่ายิ่งขึ้นไปอีกจนไม่อยากกลับเลย

ถ้าคุณกำลังมองหาที่พักดี ๆ ในจังหวัดอาโอโมริ Hoshino Resorts Aomoriya เป็นที่พักชั้นเยี่ยมที่คุณจะได้สัมผัสกับ Omotenashi หรือจิตวิญญาณการบริการของพนักงานโรงแรมเครือ Hoshino Resorts แห่งนี้ที่เรียกได้ว่าคนญี่ปุ่นเองยังยกนิ้วให้กับบริการอันเหนือชั้นที่ไม่ใช่แค่ทำเพราะหน้าที่แต่ทำด้วยใจ อีกทั้งยังได้รับความสนุกและเพลิดเพลินกับกิจกรรมหลากหลายตามฤดูกาล เสน่ห์ของจังหวัดอาโอโมริได้ถูกรวมมาไว้ที่นี่ เหมือนได้มาอยู่ในโลกแห่งความฝันเลยทีเดียว


 

TOHOKU EMOTION (รถไฟภัตตาคารโทโฮคุอิโมชั่น)

ไฮไลท์สุดท้ายของทริปเป็นอะไรที่ไม่ว่าใครต้องว้าวแน่นอน เพราะเราจะไปนั่งรถไฟ TOHOKU EMOTION หนึ่งในรถไฟ Joyful Train (รถไฟธีมพิเศษของ JR EAST) ที่ให้บริการในจังหวัดอิวาเตะ รถไฟขบวนนี้เริ่มให้บริการครั้งแรกในปี 2013 เพื่อเป็นการสนับสนุนการท่องเที่ยวแนวชายฝั่งซันริคุ (Sanriku Coast) ที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวและคลื่นยักษ์สึนามิครั้งใหญ่เมื่อปี 2011

 

สิ่งแรกที่จะสัมผัสได้ทันทีที่ก้าวขึ้นรถไฟขบวนนี้คือการตกแต่งภายในที่ผสมผสานความโมเดิร์นและงานศิลปะดั้งเดิมของภูมิภาคโทโฮคุเข้าด้วยกันอย่างลงตัว ตามจุดต่าง ๆ ภายในรถไฟเราจะได้เห็นลูกเล่นเล็ก ๆ ที่เป็นงานฝีมือพื้นบ้านดั้งเดิมเอกลักษณ์โดดเด่นของโทโฮคุ เช่น งานทำลวดลายแบบโคกินซะชิ (Koginzashi) ของจังหวัดอาโอโมริ งานขัดเงาด้วยเทคนิคโอกัตสึ สึสึริ (Oogatsu zuduri, การขัดหินแท่นหมึก) ของจังหวัดมิยางิ หรือ โคมไฟสไตล์วินเทจที่ได้แรงบันดาลใจจากอำพันที่เป็นของขึ้นชื่อเมืองคุจิ (Kuji City) ในจังหวัดอิวาเตะ ซึ่งเป็นสถานีปลายทางของรถไฟขบวนนี้ เป็นต้น

 

 

รถไฟ TOHOKU EMOTION เป็นรถไฟที่ถูกออกแบบให้เป็นเหมือนภัตตาคารหรูเคลื่อนที่ ประกอบไปด้วยตู้รถไฟ 3 ตู้ ซึ่งแต่ละตู้มีความแตกต่างกัน ตู้ที่ 1 เป็นห้องอาหารส่วนตัว ตู้ที่ 2 เป็นครัวเปิดที่สามารถเห็นเชฟกำลังปรุงอาหารให้เรา และตู้ที่ 3 เป็นโต๊ะนั่งรวมเหมือนภัตตาคารทั่วไป โดยไฮไลท์ของการนั่งรถไฟขบวนนี้คือการอร่อยกับอาหารมื้อกลางวันชั้นเลิศไปพร้อมกับชมวิวทะเลชายฝั่งซันริคุซึ่งเชื่อมกับมหาสมุทรแปซิฟิก

 

 

สำหรับอาหารบนรถนั้น เมนูที่เสิร์ฟจะแตกต่างไปตามฤดูกาลและถูกเปลี่ยน 3 ครั้งต่อปี แต่ละจานล้วนปรุงจากวัตถุดิบท้องถิ่นโทโฮคุโดยฝีมือเชฟที่ได้รับเชิญจากภัตตาคารชื่อดังตามจังหวัดต่าง ๆ ในภูมิภาค จึงแน่นอนว่ารสชาติและหน้าตาของอาหารแต่ละจานล้วนสวยงามจนลึก ๆ เริ่มรู้สึกไม่กล้าชิมขึ้นมาด้วยความเสียดาย ซึ่งรสชาติเป็นอะไรที่อร่อยเกินคาดมาก ๆ ไม่ว่าจะเป็นซอสกลมกล่อมกำลังดี ผักสดหวานอร่อย และเนื้อนุ่มเข้มข้นที่ผ่านการปรุงมาอย่างพิถีพิถัน ล้วนทำให้อาหารจานนี้ทั้งอร่อยลงตัวและสื่อถึงโทโฮคุได้อย่างดีเยี่ยม

และสิ่งที่เสริมให้มื้ออาหารอร่อยกว่าเดิมคือวิวทะเลที่เชื่อมออกสู่มหาสมุทรกว้างไกล ซึ่งมองเพลินและบางครั้งก็ให้ความรู้สึกเหมือนรถไฟกำลังวิ่งเหนือผืนน้ำทะเลทีเดียว การได้อร่อยกับอาหารระดับห้าดาวพร้อมชมวิวหลักล้านแบบนี้ทำให้การนั่งรถไฟขบวนนี้เป็นกิจกรรมที่ขอแนะนำเป็นอย่างยิ่ง

 

 

ระหว่างทางนอกจากวิวทะเลอันสวยงามแล้ว อีกความประทับใจหนึ่งที่ผู้เขียนลืมไม่ลงเลยคือการได้เห็นคนท้องถิ่นออกมาถือป้ายโบกธงต้อนรับขบวนรถไฟของพวกเรา ซึ่งกิจกรรมเล็ก ๆ น้อย ๆ นี้เป็นการขอบคุณนักท่องเที่ยวที่มาเยี่ยมเยียนบ้านของพวกเขาที่เคยผ่านความยากลำบากจากสึนามิเมื่อปี 2011 มา แต่ทุกคนก็ร่วมใจกันฟื้นฟูบ้านหลังใหญ่ที่เรียกว่าโทโฮคุนี้กลับมาเพื่อต้อนรับนักท่องเที่ยวอย่างพวกเรา ถ้าทุกคนมีโอกาสไปและได้พบชาวบ้านเหล่านี้ อย่าลืมโบกมือให้กำลังใจพวกเขากันด้วยนะคะ และผู้เขียนเชื่อว่ารอยยิ้มที่ทั้งเขาและเราส่งให้กันในช่วงเวลาสั้น ๆ เพียงพริบตานี้ สามารถเป็นกำลังใจและความหวังให้กันและกันได้อย่างมากแน่นอนค่ะ

เมื่อเราไปถึงสถานีปลายทาง Kuji แล้ว จะมีเวลาระหว่างรอรถไฟขากลับ 1 ชั่วโมง ระหว่างนี้ผู้เขียนขอแนะนำให้ไปเดินเล่นชมเมืองเพื่อเป็นการย่อยอาหารและเพลิดเพลินบรรยากาศของเมืองคาวาซากิที่เป็นเมืองริมทะเล และถ้าคุณเป็นคอซีรี่ย์ญี่ปุ่นและรู้สึกว่าที่นี่ดูคุ้น ๆ นั่นก็เพราะเมืองแห่งนี้เป็นโลเคชั่นถ่ายทำซีรี่ย์เรื่อง อามะจัง สาวน้อยแห่งท้องทะเลที่เคยฉายในประเทศไทยด้วย หรือต่อให้ไม่เคยดูเรื่องนี้ บรรยากาศของเมืองจะทำให้คุณเดินเพลินจนลืมเวลาแน่นอน

 

 

เมื่อถึงเวลา เรากลับมาที่สถานี Kuji เพื่อนั่งรถไฟขากลับกัน โดยในขากลับนี้เมนูจะเปลี่ยนจากของคาวเป็นของหวานแทน โดยมีบุฟเฟ่ต์ของหวานและขนมขบเคี้ยวที่เสิร์ฟในกล่องไม้ดีไซน์ท้องถิ่นซึ่งหาชมได้ยากแล้วในปัจจุบัน โดยเป็นกล่องไม้ที่ดูเรียบง่ายแต่งานเนี้ยบมากจนรู้สึกได้ตั้งแต่วินาทีที่ปลายนิ้วสัมผัสเนื้อไม้ของกล่อง ในเซ็ทของหวานจะมีไวท์ช็อคโกแลตที่มีโลโก้รถไฟ TOHOKU EMOTION ด้วย ซึ่งเป็นสิ่งที่ถ้าได้นั่งรถไฟขบวนนี้แล้วก็ต้องถ่ายภาพเก็บไว้เป็นที่ระลึก

 

 

ทริปลัดเลาะเที่ยวจังหวัดชายฝั่งทะเลในเขตโทโฮคุครั้งนี้ทำให้เราได้สัมผัสกับเสน่ห์ต่าง ๆ ที่เป็นเอกลักษณ์ของโทโฮคุ ไม่ว่าจะเป็นการชมวิวธรรมชาติที่สวยงาม การชิมหลากของอร่อยจากวัตถุดิบท้องถิ่นที่ขึ้นชื่อของแต่ละจังหวัด แถมยังได้สนุกกับกิจกรรมวัฒนธรรมดั้งเดิมที่มีเสน่ห์และมีสีสันของที่นี่ ทั้งการทำกระดาษสาจากต้นแอปเปิ้ล การชมโคมไฟเนบูตะ และอีกมากมายซึ่งล้วนทำให้เราหลงรักโทโฮคุมากขึ้น และถ้าคุณมาเที่ยวญี่ปุ่นครั้งหน้า ผู้เขียนขอแนะนำให้มาเที่ยวโทโฮคุเป็นอย่างยิ่ง รับรองว่าคุณจะหลงเสน่ห์ของโทโฮคุเช่นเดียวกันกับผู้เขียนแน่นอน


Spot Details

  • Shiwahiko-jinja Shrine and Shiogama-jinja Shrine(MAP①)  

    1-1 Ichimoriyama, Shiogama City, Miyagi Prefecture 985-8510

    For more information
    None
  • Shiogama Sushi Tetsu(MAP②)  

    2-22 Kaigandori, Shiogama City, Miyagi Prefecture 985-0002

    For more information
    None
  • Gelateria Fruits Laboratory(MAP③)  

    3-5 Motomachi, Shiogama City, Miyagi Prefecture 985-0052

    For more information
    None
  • Matsushima Bay Cruise(MAP④)  

    1-4-1 Minato-machi, Shiogama City, Miyagi Prefecture 985-0016

    For more information
    None
  • Kanrantei Tea House and Matsushima Museum(MAP⑤)  

    56 Chonai, Matsushima-machi, Miyagi Prefecture 981-0213

    For more information
    None
  • Miyagi Prefecture Matsushima Rikyu(MAP⑥)  

    18 Namiuchihama, Matsushima, Matsushima-machi, Miyagi-gun, Miyagi Prefecture 981-0213

    For more information
    None
  • Hotel UBUDO(MAP⑦)  

    5-3 Higashihama, Matsushima, Matsushima-machi, Miyagi-gun, Miyagi Prefecture 981-0213

    For more information
    None
  • Aomina Visitor Center(MAP⑧)  

    5-1 Miyato Aza Kawahara, Higashimatsushima City, Miyagi Prefecture 981-0412

    For more information
    None
  • Galetteria Da Sasino(MAP⑨)  

    A-FACTORY 2F, 1-4-2 Yanagawa, Aomori City, Aomori Prefecture 038-0012

    For more information
    None
  • A-FACTORY(MAP⑩)  

    1-4-2 Yanagawa, Aomori City, Aomori Prefecture 038-0012

    For more information
    None
  • Towadako Lake View Hotel(MAP⑪)  

    65-1 Yasumitai, Towadako, Kosaka-machi, Kazuno-gun, Akita Prefecture 018-5511

    Learn More
    None
  • Lake Towada Excursion Boat(MAP⑫)  

    486 Towadakohanyasumiya, Okuse, Towada City, Aomori Prefecture 018-5501

    For more information
    None
  • Towada Shrine(MAP⑬)  

    486 Towadakohanyasumiya, Okuse, Towada City, Aomori Prefecture 018-5501

    For more information
    None
  • Towadako MarineBlue(MAP⑭)  

    Yasumitai, Towadako Kosaka, Kazuno-gun, Akita Prefecture 018-5511

    For more information
    None
  • Stone Oven Pizza Ortolana(MAP⑮)  

    11-253 Tochikubo, Okuse, Towada City, Aomori Prefecture 034-0301

    For more information
    None
  • Hoshino Resorts Aomoriya(MAP⑯)  

    56 Furumagiyama, Misawa City, Aomori Prefecture 033-0044

    For more information
    None
  • TOHOKU EMOTION(MAP⑰)  

    For more information
    None

Getting to TOHOKU


About ANNGLE

 

ANNGLE คือ เว็บไซต์สื่อออนไลน์ที่แบ่งปันข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับญี่ปุ่นในเชิงสร้างสรรค์และหลากหลายมุมมองแบบ
เจาะลึกผ่านเว็บไซต์และโซเชียลมีเดียเพื่อคนไทยที่รักและสนใจญี่ปุ่น


Please Choose Your Language

Browse the JNTO site in one of multiple languages